พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 โดยย้ำความจำเป็นเร่งด่วนในการกู้เงิน เพื่อใช้สำหรับสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการระบาดในระลอกที่ 3 โดยคาดว่า จะช่วยทำให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้ 1.5-2.5 ส่วนงบประมาณสำหรับระบบสาธารณสุข คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไปแล้วกว่า 44,700 ล้านบาท โดยครอบคลุมทั้งงบประมาณสำหรับวัคซีน ดูแลบุคลากร เช่น อสม. อุปกรณ์การแพทย์และรถตรวจชีวนิรภัยเพิ่มเติม

แผนการบริหารที่ผ่านมาในปี 2564 รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถกระจายวัคซีนได้กว่า 100 ล้านโดส ภายในเดือนมีนาคม 2565 ซึ่งขณะนี้ สามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้แล้วกว่า 6.1 ล้านโดส ขณะที่การกระจายวัคซีนสู่ประชาชน เป็นไปตามหลักการทุกจังหวัดจะต้องได้รับวัคซีน จังหวัดใดจะมีการแพร่ระบาดมาก ก็ต้องกระจายวัคซีนให้มากขึ้น และสำรองไว้สำหรับการป้องกันการระบาดที่อาจมีขึ้น เช่น กลุ่มแรงงาน หรือบุคลากรและอาชีพที่จำเป็น แต่ปัญหาขณะนี้คือ การจับจองวัคซีน ของประชาชนมากกว่าจำนวนวัคซีนที่จ่ายให้แต่ละพื้นที่ และจำนวนวัคซีนทยอยแบ่งมาจากผู้ผลิต ดังนั้น การกระจายวัคซีน จะต้องมีการปรับแผน เพื่อไม่ให้การนัดฉีดวัคซีนของประชาชน มีจำนวนมากกว่าวัคซีนที่มี จึงต้องยืดระยะเวลา เพื่อให้สอดรับกับจำนวนวัคซีนที่มี

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ปัญหาการระบาดโควิด-19 มีปัญหาการเมืองเข้ามาแทรกแต่ต้องย้ำว่ารัฐบาลพยายามแก้ปัญหาและจัดหาวัคซีนให้ได้ถึงปีหน้า มีการเจรจาจัดซื้อต่อเนื่อง ทั้งนี้ในส่วนของวัคซีนไฟเซอร์ อยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขสัญญา จำนวน 20  ล้านโดส คาดว่า จะได้ในไตรมาส 3 เช่นเดียวกับวัคซีนจอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน  จำนวน 5 ล้านโดส รวมถึงวัคซีนโมเดอร์นา ,ซิโนฟาร์ม และสปุกนิค-วี โดยนายกรัฐมนตรี  ยืนยันว่า รัฐบาล ไม่เคยมีการปิดกั้นการขึ้นทะเบียนวัคซีน แต่จะต้องขึ้นทะเบียนต่อ อย. ย้ำความปลอดภัยต่อประชาชน

ข้อมูล : https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210614142718985